×

4 ท่าเคลื่อนไหวหลักของม้า แต่ละแบบแตกต่างอย่างไร?

การที่ผู้ขี่ม้าจะสามารถควบคุมให้ม้าเดินทางไปได้อย่างใจนึกนั้น ล้วนต้องได้รับการเรียนรู้ ออกคำสั่งท่าเคลื่อนไหวของม้า (Horse Gaits) และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ขี่ม้าสามารถควบคุมให้ม้าออกท่าเดินหรือท่าวิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ ขณะเดียวกันผู้ที่ไม่ได้ขี่ม้า แต่สนใจตัวม้าก็สามารถทำความเข้าใจถึงท่าเดิน หรือท่าวิ่งของม้าแบบต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะหากชมการแข่งม้ากระโดด หรือม้าเดรสสาจก็จะเข้าใจรายละเอียดได้ดียิ่งขึ้น

โดยท่าเดินของม้าหลัก ๆ จะมีด้วยกัน 4 ท่า ที่ผู้สนใจวงการม้าควรรู้ ประกอบด้วย

1.ท่าเดิน Walk

เป็นท่าเดินทั่วไปของม้าในสภาวะที่สงบ จึงมีจังหวะการก้าวขาเพียง 4 จังหวะอย่างสม่ำเสมอ และไม่มีจังหวะลอยตัว (Suspension) โดยจะทำความเร็วต่ำกว่า 6.4 กม./ชม. เป็นท่าที่ให้ความรู้สึกนุ่มนวลระหว่างขี่ และสามารถใช้งานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะขี่รอบสนาม ชี่ชมวิว ขี่สำรวจสถานที่ หรือเข้าสนามแข่ง

จังหวะการเดิน (Walk): 1-2-3-4 (ขาหลังขวา → ขาหน้าขวา → ขาหลังซ้าย → ขาหน้าซ้าย) รวม 4 จังหวะ


2.ท่าวิ่งเรียบ Trot / Jog

สำหรับท่านี้ม้าจะใช้ขาขาคู่ทแยงมุมลงพร้อมกัน (เช่น ขาหน้าซ้าย กับขาหลังขวา) สลับกับขาคู่ทแยงมุมตรงข้าม มีจังหวะถีบพื้น และลอยตัวระหว่างจังหวะ จนสามารถทำความเร็วถึง 13 – 19 กม./ชม. จึงเป็นท่าที่ช่วยเพิ่มความเร็ว มีประสิทธิภาพสำหรับการเดินทางไกล รวมถึงใช้ในการแข่งม้าลากเกวียน (Harness racing) ด้วย

จังหวะการวิ่งแบบ ทรอท: 1-2 (คู่ทแยงมุมขวา: ขาหลังขวา/ขาหน้าซ้าย → คู่ทแยงมุมซ้าย: ขาหลังซ้าย/ขาหน้าขวา) รวม 2 จังหวะ


3.ท่าวิ่งขโยก Canter / Lope

การวิ่งขโยก มีทิศทางนำ (Lead) โดยจะมีขาคู่ทแยงมุมลงพร้อมกัน 1 คู่ และขาที่เหลือนำ 1 ข้าง ซึ่งระหว่างก้าวเท้าจะมีการกระโดดสั้นๆ ต่อเนื่อง จนสามารถทำความเร็วถึง 16 -27 กม./ชม. เป็นท่าวิ่งที่สามารถทำความเร็วได้โดยที่ยังสามารถควบคุมทิศทาง หรือเปลี่ยนจังหวะท่าเดินได้รวดเร็วระดับหนึ่ง มักใช้ในการขี่ทั่วไปที่มีพื้นที่กว้าง และใช้การแข่งขันบางประเภท เช่น ม้ากระโดด, เดรสสาจ, อีเว้นท์ติ้ง เป็นต้น

จังหวะการวิ่งแบบ แคนเตอร์ (นำซ้าย): 1-2-3 (ขาหลังขวา → ขาหลังซ้าย/ขาหน้าขวา (ลงพร้อมกัน) → ขาหน้าซ้าย) รวม 3 จังหวะ


4.ท่าวิ่งเร็ว Gallop

และการเคลื่อนไหวแบบสุดท้ายจะเป็นแบบที่ให้ม้าวิ่งเต็มฝีเท้า (Full-out Run) โดยม้าจะใช้ขาทั้งสี่ข้างลงพื้นทีละข้าง มีจังหวะลอยตัวนานที่สุด สามารถทำความเร็วได้ถึง 40 – 48 กม./ชม. (หรือสูงกว่า) โดยท่าวิ่ง Gallop ถือว่าเป็นท่าที่ผู้ขับขี่ต้องมีทักษะการควบคุมม้าขั้นสูง และต้องฝึกฝนอย่างชำนาญ สำหรับม้าที่ใช้ท่านี้จะพบแค่ม้าแข่งวิ่งทางเรียบ (Flat race), โปโลม้า, Cross-Country เป็นต้น

จังหวะการวิ่งแบบ แกลลอป (นำซ้าย): 1-2-3-4 (ขาหลังขวา → ขาหลังซ้าย → ขาหน้าขวา → ขาหน้าซ้าย) รวม 4 จังหวะ

สำหรับท่าเคลื่อนไหวแบบอื่น ๆ ได้แก่ ท่าวิ่งเหยาะ (Pace), ท่าถอยหลัง, การเปลี่ยนท่าหรือเปลี่ยนจังหวะ และการหยุด ซึ่งก็เป็นท่าพื้นฐานในการขี่ หรือควบคุมม้าที่ผู้ขี่ม้าจะต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ


ท่าเคลื่อนไหวหลักทั้ง 4 แบบของม้า จะมีการใช้งานในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้สนใจขี่ม้าต้องเรียนรู้ และฝึกฝนวิธีการการควบคุมม้าที่ถูกต้องจากผู้ดูแลม้าที่มีความเชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการควบคุมไม่ให้ม้าเกิดการตื่นตระหนก หรือตกใจง่ายเกินไป ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายจากการเปลี่ยนท่าวิ่งกระทันหันได้

Previous post

Bentley เปิดตัวชุดอุปกรณ์เสริมสำหรับสัตว์เลี้ยงคอลเลกชันใหม่ ตอกย้ำภาพแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่มากกว่าแค่รถยนต์

Next post

เคาะแล้ว บัตร 𝗧𝗵𝗮𝗶𝗚𝗣 𝟮𝟬𝟮𝟲 สนามแรกฤดูกาล ‘ตรึงราคาเดิม’ พร้อมสิทธิประโยชน์ แบบ ‘𝟯-𝗶𝗻-𝟭’ และส่วนลดสุดคุ้ม สนามเดียวในโลก!

Post Comment